หมายเลข 10 บนเสื้อสำหรับวงการฟุตบอลถือว่าเป็นหมายเลขที่ยิ่งใหญ่ อาจจะกล่าวได้ว่าหมายเลขนี้เปรียบเสมือน “ตราสัญลักษณ์” ของสโมสร เป็นจุดศูนย์กลางของทีม หรือแม้กระทั่งเป็นคีย์แมนคนสำคัญ ในบางกรณีอาจหมายถึงนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในทีม จากเดิมจริงๆเป็นเรื่องของตำแหน่ง เมื่อนับตัวเลข ไล่ไปเรื่อยๆจากตำแหน่งโกล์ที่เป็นเบอร์ 1 ไล่ขึ้นไปเรื่อยจนถึงเบอร์ 10 ซึ่งหมายเลขนี้จะอยู่แถวตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ หรือหน้าต่ำ ที่เป็นคนคุมเกมการบุก ในอดีต และก็จะเป็นตำแหน่งที่นักเตะดังๆใส่เสียเป็นส่วนใหญ่ อธิเช่น เปเล่ มาราโดน่า ซิโก้ มัทธีอุส หรือ บักโจ้ ฯลฯ
สิ่งที่ทำให้คาดว่าจากเดิมที่ ตัวเลข 10 หมายเลขธรรมดากลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวงการฟุตบอล สำหรับเรื่องราวในตำนานของวงการฟุตบอล เมื่อพอพูดถึงเบอร์ 10 ภาพเดียวกันที่ทุกคนเห็นมาตั้งแต่อดีตต้องนึกถึง ราชาฟุตบอลไข่มุกดำ “Pele” ที่ทำให้เสื้อหมายเลขธรรมดาๆที่ไม่เคยมีความหมายในทีมโดดเด่นขึ้นมา เพราะมุมมองที่ทำให้เกิดคุณค่าแบบนี้ จากเลข 10 เมื่อแยกออกทีละหมายเลขโดยที่ หมายเลข1 คือ ความสามารถทักษะอันดับหนึ่งและ หมายเลข 0 คือ ความเป็นศูนย์กลาง หัวใจของทีม กลายเป็นคุณค่าของของคนที่จะสวมเสื้อ เบอร์ 10
ปัจจุบันหมายเลข 10 ก็ยังคงเป็นหมายเลขที่ทรงคุณค่า หมายเลขพิเศษแบบคลาสสิค มักถูกสวมโดยผู้รังสรรค์เวทมนตร์ผ่านปลายสตั๊ดยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แฟนบอลนับไม่ถ้วน แม้ว่าความคลาสสิคแบบนี้จะลดน้อยลงในฟุตบอลยุคปัจจุบัน แต่ตามตำแหน่ง คือ เพลย์เมคเกอร์ หรือ Trequartista แต่ถ้าหากเป็นอเมริกาใต้จะเรียก Enganche ผู้ทำหน้าที่บัญชาเกมรุกและสร้างสรรค์โอกาสทำประตูด้วยทักษะและจินตนาการในภาษาอิตาเลียนว่า Fantasista ที่กลายเป็นของหายากในวงการฟุตบอล
เมื่อมองภาพมาที่ฟุตบอลในยุคปัจจุบันไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” แต่หากต้องคงอยู่ในยุโมเดิร์นจะเล่นให้สวยงามเพื่ออะไรถ้าหากทีมไม่สามารถนำพาชัยชนะมาได้ การเล่นแบบเป็นระบบโดยไม่ใช้นักเตะแบบ Classic No.10s จึงเริ่มเลือนหายไปเพราะว่าไม่จำเป็นอีก และเมื่อฟุตบอลสมัยใหม่อาศัยระบบทีมมากกว่าความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น การที่จะพึ่งพานักเตะเพียงคนเดียวจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับวงการฟุตบอล เพราะถ้าหากการสร้างสรรเกมรุกทั้งหมดถูกฝากไว้ที่นักเตะเพียงคนเดียว และ ดันโดนประกบจนเล่นไม่ได้ เกมบุกของทีมจะกลายเป็นอัมพาตทันที (สังเกตได้จากทีมอาเจนติน่าในชุดบอลโลก 2018 เมสซี่เล่นไม่ออกทีมแพ้ทันทีเพราะพึ่งพาเมสซี่มากเกินไป)
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเลือนหายของ Classic No.10s มาไวขึ้น คือ บทบาทสำคัญของตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่ทำให้เล่นยากมากขึ้น แม้ว่าอาจจะต้องใช้ตัวประกบมากถึง 2 ตัว แต่หากทำให้อีกทีมขับเคลื่อนเกมรุกไม่ได้ก็โอเคถึงต้องใช้สองคนรุมกินโต๊ะก็ตาม แม้ว่าการสร้างสรรค์เกมนักเตะจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด Classic No.10s ในอดีตเป็นตำแหน่งที่ได้รับการอนุญาตว่าไม่ต้องไล่บอล หรือ ลงมาช่วยเกมรับก็ได้ เพราะจะทำให้เสียตำแหน่งที่จะสร้างสรรค์โอกาสเกมบุกไป แต่เมื่อเป็นฟุตบอลในสมัยใหม่ เกมบุกที่เข้าทำได้ทั้งทีม และ สามารถทำเกมรับได้ทั้งทีม ผู้เล่นที่ไม่ช่วยเหลือในเกมรับถือว่า ไร้ประโยชน์ นักฟุตบอลจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปตามกาลเวลา เพราะถ้าหากไม่ปรับเปลี่ยนก็ไม่สามารถอยู่ได้ในปัจจุบัน (ตัวอย่าง เบอร์บาตอฟ กองหน้าจอมขี้เกียจที่ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำแต่เมื่อไม่เข้ากันกับระบบก็ถูกเอาออกไป)
ฟุตบอลสมัยใหม่เป็นยุคของผู้เล่นตัวรุกริมเส้น การเจาะจากแดนกลางเป็นสิ่งที่ใช้เวลามากกว่าการรุกริมเส้น เพราะต้องดูคู่ต่อสู้จากรอบทิศทาง แต่ถ้าหากเป็นริมเส้นจะเหลือเพียง 3 ด้านเท่านั้น คือ หน้า ข้างและหลัง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลีโอเนียล เมสซี่ ทั้งคู่ที่เป็นเจ้าของบัลลงดอร์ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการเล่นตัวริมเส้น แม้ว่า แกเร็ธ เบล ก็ยังเป็นผู้เล่นตัวริมเส้นที่ยอดเยี่ยม
Riquelme อาจจะเป็นนักฟตบอลเพลย์เมคเกอร์แบบเก่าคนสุดท้ายที่ใครหลายคนบอกกัน และกลายเริ่มต้นศักราชใหม่ของเพลย์เมคเกอร์แบบใหม่ คือ Luka Modric ที่ขยันไล่บอล ขยันหาพื้นที่ อาจจะไม่หวือหวาเท่าแต่ว่ามีความแน่นอนและทรงประสิทธิภาพแทน บรรดานักฟุตบอลยุคปัจจุบัน คนที่ใกล้เคียงกับคำว่า Classic No.10s คือ Mesut Oezil ที่มีความสามารถในการจ่ายบอลและวิสัยทัศน์แบบคลาสสิค แม้ว่าจะเล่นในตำแหน่งปีกได้แต่ความสามารถจะยอดเยี่ยมที่สุด คือ ตำแหน่ง Classic No.10s
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่น Classic No.10s คือ ผู้เล่นประเภทดูฟุตบอลและมีความตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ดูแล้วเพลิดเพลินมากที่สุด และผมเองจะเฝ้ารอตำนานหมายเลข 10 คนต่อไปรอวันที่ Classic No.10 จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง